นอกจากมูลนิธิดำรงชัยธรรมและคณะกรรมการที่พิจารณาคัดเลือกในวันนั้น คุณครูของผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณเสมอมา เพราะหากไม่มีท่านผมก็คงไม่ได้รับโอกาสอย่างที่ผมได้รับในวันนี้
“เบล เจษฎาวุธ แก้วยัง”
นักเรียนทุน รุ่นที่ 18/2559
⏩ เล่าเรื่องราวย้อนอดีต
ก่อนที่จะได้รับทุนจากมูลนิธิดำรงชัยธรรม ผมเป็นเด็กมัธยมธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่เรียนโรงเรียนประจำอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง โดยทุกวันจันทร์-ศุกร์ ผมจะตื่นเช้ามาเรียนและกลับบ้านหลังเลิกเรียนตามปกติเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แต่ในวันเสาร์-อาทิตย์ผมจะไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เหมือนที่เด็กในวัยเดียวกับผมทำกัน เพราะวันเสาร์-อาทิตย์ของผมคือช่วงเวลาทำงานนั่นเอง และไม่ใช่เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้นที่ผมไปทำงานพิเศษ ในช่วงปิดเทอมผมก็ต้องทำงานพิเศษเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วงปิดเทอมบางปีผมต้องเดินทางไปถึงจังหวัดภูเก็ตเพื่อหางานพิเศษทำ และกลับบ้านเมื่อใกล้ถึงวันเปิดเทอม ชีวิตของผมก็ดำเนินมาแบบนี้ตลอดตั้งแต่ที่ผมเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยม สาเหตุสำคัญก็คือ ผมไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ แต่อาศัยอยู่กับตายายตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ซึ่งตากับยายก็มีอายุเยอะแล้วเลยทำงานได้แค่ให้เพียงพอใช้จ่ายในแต่ละวัน แม้ผมจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดหายหรือมีปมด้อยอะไรเลย เพราะว่าตากับยายดูแลผมอย่างดีมาโดยตลอด แม้จะไม่ได้มีพร้อมทุกอย่าง แต่สิ่งต่าง ๆ ที่พวกท่านคอยมอบให้ มันให้ผมรู้สึกอบอุ่นและมีแรงข้ามผ่านปัญหาต่าง ๆ ไปได้เสมอ ผมจึงคิดเสมอว่าถ้ามีทางไหนที่พอจะแบ่งเบาภาระของตากับยายในส่วนค่าใช้จ่ายของผมลงได้บ้างผมก็ยินดีที่จะทำมัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมทำงานพิเศษมาตั้งแต่เด็ก ๆ นั่นเอง ซึ่งก็ทำให้ตากับยายหายเหนื่อยลงไปเยอะทีเดียว
ในระหว่างชั้น ม.6 เทอม 2 ผมตั้งใจว่าจะต้องเรียนต่อในระดับปริญญาตรีให้ได้ โดยผมวางแผนไว้ว่าจะกู้ยืม กยศ. และก็ทำงานพิเศษในวันหยุดไปด้วย รวมทั้งใช้จ่ายอย่างประหยัด ถึงจะลำบากหน่อยแต่น่าจะพอประคับประคองไปจนเรียนจบได้ แต่มีอยู่วันนึงหลังเรียนคาบแนะแนวเสร็จแล้ว คุณครูแนะแนวก็ได้เรียกผมไปคุยด้วย (ซึ่งผมค่อนข้างสนิทครูที่โรงเรียนเกือบทุกคน คุณครูเลยพอจะทราบชีวิตความเป็นอยู่ของผม และก็คอยช่วยเหลือมาตลอด) คุณครูได้แนะนำทุนของมูลนิธิดำรงชัยธรรม และบอกขั้นตอนการสมัครอย่างละเอียด โดยท่านบอกว่าทุนนี้เป็นทุนที่น่าสนใจและเหมาะกับผม ให้ผมลองสมัครขอรับทุนดู ซึ่งหากผมได้รับเลือกก็จะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนของผมได้เยอะ หลังจากฟังคุณครูแล้วผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เลยรับเอกสารต่าง ๆ มา พอเลิกเรียนก็กลับมากรอกรายละเอียดที่บ้านแล้วส่งใบสมัครและเอกสารทั้งหมดให้คุณครูอีกครั้งในเวลาต่อมา เมื่อถึงวันประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับทุน ชื่อของผมก็เป็นหนึ่งในรายชื่อที่ได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิดำรงชัยธรรม จนถึงบัดนี้ นอกจากมูลนิธิดำรงชัยธรรมและคณะกรรมการที่พิจารณาคัดเลือกในวันนั้น คุณครูของผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณเสมอมา เพราะหากไม่มีท่านผมคงไม่ได้รู้จักกับมูลนิธิดำรงชัยธรรม และก็คงไม่ได้รับโอกาสดี ๆ อย่างที่ผมได้รับในวันนี้
⏩ ความรู้สึกครั้งแรก ตอนที่เข้ามาเป็นนักเรียนทุน ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร…?
ตอนประกาศรายชื่อนักเรียนทุนรุ่นที่ 18/2559 ตอนนั้นเป็นเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมพอดี และผมกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเดือนสิงหาคม ช่วงนั้นผมกำลังทำงานพิเศษเพื่อเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับการเปิดเทอม ในวันประกาศรายชื่อผู้ได้รับทุน ผมเข้าไปดูในเว็ปไซต์ของมูลนิธิตอนเวลาพักช่วงบ่าย ๆ แล้ว พอผมกดเข้าไปดูเห็นรายชื่อนักเรียนทุนชื่อแรกไม่ใช่ชื่อของผม ตอนนั้นก็รู้ใจหายนิด ๆ ครับ แต่ไม่เป็นไรยังมีรายชื่ออื่นอยู่อีก ผมก็เลยมองหาเลื่อนลงมาตามลำดับจนถึงชื่อที่ 8 ทันทีที่ผมเห็นชื่อของคนที่ 8 ผมก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกมันเป็นความรู้สึกที่เหมือนเงาของปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ผมกำลังกังวลอยู่ได้หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้อีกแล้ว ใช่แล้วครับเพราะชื่อของคนที่ 8 เป็นชื่อของผมนั่นเอง ความดีใจนี้ไม่ได้เกิดกับผมแค่คนเดียว แต่ทันทีผมโทรบอกยาย น้ำเสียงสั่น ๆ ของยายทำให้ผมรู้สึกได้ทันทีว่ายายรู้สึกอย่างไร มันไม่ใช่น้ำเสียงของคนที่กำลังเสียใจ แต่เป็นน้ำเสียงของคนที่รู้สึกยินดีจนเกือบจะร้องไห้ออกมา เพราะการที่ผมได้มาเป็นครอบครัวของมูลนิธิดำรงชัยธรรมนั้น ทำให้ยายหมดห่วงไปเยอะเลยทีเดียว นอกจากความรู้สึกดีใจแล้วนั้น ภาพของคุณครูแนะแนวก็ลอยขึ้นมา ผมรู้สึกขอบคุณท่านจริง ๆ เพราะท่านเป็นอีกคนสำคัญที่ทำให้ผมได้รับโอกาสนี้ หากไม่มีท่านก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะได้รับโอกาสในครั้งนี้หรือเปล่า
⏩ มีความประทับใจ…ต่อการเข้ามาเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิ?
สำหรับความประทับใจของผมเกี่ยวกับมูลนิธิดำรงชัยธรรมมีหลายอย่างมากครับ ตั้งแต่ความประทับใจที่ทางมูลนิธิได้มอบโอกาสให้กับผม ไปจนถึงการดูแลตั้งแต่เข้ามาเป็นนักเรียนทุนจนกระทั่งตอนนี้ แต่มีเรื่องที่ผมประทับใจมากที่สุด คือ ตอนงานรวมพลคนโตดี ปี 2560 ครับ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปที่มูลนิธิ ตอนแรกผมกังวลมากครับ ว่าไปถึงตึกแกรมมี่แล้วไม่รู้จะต้องไปไหนต่อ ผมเองก็ไม่รู้จักใครสักคนเลย ถึงจะคุยกับพี่เจ้าหน้าที่มาตลอด แต่ก็ไม่เคยเจอตัวจริงเลย ไม่รู้ว่าไปถึงแล้วพี่จะจำผมได้หรือเปล่า เมื่อไปถึงผมก็มองหารอบ ๆ ว่าพี่เจ้าหน้าที่ที่ติดต่อกับผมอยู่ตรงไหนเพราะเป็นคนเดียวที่ผมรู้จัก แต่มองไปทางไหนก็หาไม่เจอ เห็นแต่พี่ ๆ บัณฑิตทุนกำลังต่อแถวกันอยู่ ตอนนั้นผมก็ทำตัวไม่ถูกครับ ไม่รู้จะต้องไปเข้าแถวด้วยหรือเปล่า เพราะคนในแถวก็สวมชุดครุยกันอยู่ทั้งนั้น มีแค่ผมที่ใส่ชุดนักศึกษา แต่ในที่สุดพี่เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาหาผมแล้วพาผมไปต่อแถวกับพี่บัณฑิต เพื่อไปไหว้ศาลทางด้านหลังตึก ตอนนั้นผมประทับใจมากครับ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเจอตัวจริงกัน แต่ก็รู้ทันทีว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือผมนั่นเอง และต่อจากนั้นพอเข้าไปถึงชั้นที่จัดกิจกรรมอยู่ ก็มีพี่เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เข้ามาทักผมด้วยว่าใช่น้องเบลหรือเปล่า ตอนแรกผมก็ไม่ทราบว่าใครเป็นใครบ้างที่เข้ามาทัก และรู้จักผมได้ยังไง เพราะผมก็คุยแค่กับพี่คนนั้นคนเดียว แต่ก็มาทราบภายหลังว่าพี่ ๆ ที่เข้ามาทัก ก็คือพี่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลนักเรียนทุนภาคอื่น ๆ นั่นเอง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมประทับใจมากครับ เพราะแม้ว่าพี่ ๆ จะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลผมโดยเฉพาะแต่พี่ ๆ ก็มีความใส่ใจ จำผมได้ตั้งแต่แรกที่พบกัน ซึ่งการดูแลเอาใจใส่ของพี่ ๆ เจ้าหน้าที่นี้เองที่ผมประทับใจที่สุดของการเป็นนักเรียนทุนครับ
⏩ สิ่งที่อยากฝากอยากบอกถึงน้องรุ่นหลัง ๆ
ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ด้วยนะครับ ที่ได้เข้ามาเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิดำรงชัยธรรม และขอต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวดำรงชัยธรรมครับ เรื่องการเรียนพี่คงไม่ห่วงเพราะน้อง ๆ ทุกคนคงมีความพิเศษอยู่แล้ว แต่หากน้อง ๆ มีปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ทำให้ไม่สบายใจ อยากระบายให้ใครสักคนฟังหรืออยากได้คำปรึกษา น้องสามารถทักมาคุยกับพี่หรือรุ่นพี่ทุนคนอื่น ๆ ได้ทุกคนเลยครับ ที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัว หากใครคนใดในครอบครัวมีปัญหาไม่สบายใจ เราก็ยินดีที่จะช่วยเหลือให้คนในครอบครัวของเรากลับมายิ้มได้อีกครั้งครับ