“ หนูขอสัญญาว่าจะนำความรู้ที่ได้ประกอบกับศักยภาพในตัวหนูที่ได้รับการพัฒนามากขึ้น
ไปช่วยเหลือสังคมต่อไปเท่าที่จะทำได้ และจะทำให้ดีที่สุด ”
เกด ทิพย์วารี วงค์เหมย
นักเรียนทุน รุ่นที่ 13/2554
ก่อนได้รับทุน
เท่าที่จำได้ ครอบครัวค่อนข้างยากจนมาก มีอาชีพทำไร่ทำนา และรับจ้างทั่วไปในหมู่บ้าน ถ้าไม่มีงานก็จะหยุดอยู่บ้าน ซึ่งทำให้
ขาดรายได้ ฉันเริ่มหาเงินเองเพื่อช่วยครอบครัวตั้งแต่ 7 ขวบ ด้วยการเขียนเรียงความแข่งขันในโรงเรียน รับจ้างกวาดห้องให้ครู มันทำให้ฉันมีเงินไปกินขนมที่โรงเรียน เพราะที่บ้านแทบไม่มีเงินให้ฉันไปโรงเรียน หลังจากนั้นพอโตขึ้นมา ก็เริ่มไปรับจ้างปลูกหอม ปลูกข้าวโพด ตามที่ชาวบ้านจ้าง ช่วยพ่อทำงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่นึ่งข้าว ทำกับข้าว ผ่าฟืน หาบน้ำใส่ตุ่ม กวาดบ้าน ซักผ้า ทำทุกอย่างที่ทำได้ มีบางช่วงที่พ่อไม่มีเงินเลย และตัวฉันเองก็ถูกห้ามไม่ให้ไปรับจ้างที่ไหน บ้านจึงขาดรายได้จนต้องกินน้ำพริกที่มีแต่พริกกับเกลือ แล้วก็เก็บผักตามทุ่งนามาต้มกินทุกวัน
เวลาพ่อเครียดก็ลงที่ฉัน จนร้องไห้ทุกวัน สภาพครอบครัวเป็นเช่นนี้จนมาถึงฉันอยู่ ม.3 ตอนนั้นเห็นเพื่อนคุยกันเรื่องเรียนต่อ
ฉันอยากเรียนมากแต่ทางบ้านไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่ส่งได้ ประกอบกับชาวบ้านบางคนที่ไม่หวังดีกับเรา เขาก็ว่าเราไม่มีทางจะเรียนต่อได้ ทำให้ท้อมาก จนทุกครั้งที่มีคนถามถึงเรื่องเรียน ฉันก็มักจะร้องไห้บ้าง เบี่ยงเบนบ้าง จนวันหนึ่งมีพี่ธุรการโรงเรียนนำป้ายประกาศรับนักเรียนทุนของมูลนิธิดำรงชัยธรรมมาติด ฉันเลยไปปรึกษาคุณครูแล้วเขียนเรียงความเรื่องชีวิตของข้าพเจ้าส่งไปยังมูลนิธิดำรงชัยธรรม สิ่งที่อยากบอกมาก คือ ตอนที่เขียนเรียงความครั้งแรกนั้น ฉันไม่ค่อยกล้าเขียนเรื่องราวเท่าไหร่ เพราะกลัวว่าคนอ่านจะหาว่าโกหก และมองเราไม่ดี มองคนในบ้านไม่ดี แต่สุดท้ายด้วยความอยากเรียนหนังสือมาก เพราะอยากจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ จะได้ทำงานดีๆ ในวันข้างหน้า
เลยเขียนเล่าเรื่องบางส่วนลงในกระดาษแผ่นนั้นทันที เขียนไปน้ำตาก็ไหลหยดลงกระดาษก็มี
หลังได้รับทุน
เงินทุนนี้ช่วยเหลือครอบครัวของฉันได้อย่างมากที่สุด ตั้งแต่ที่ฉันได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิดำรงชัยธรรม ฉันรู้สึกภูมิใจ และดีใจมาก อย่างน้อยเงินทุนในส่วนนี้ทำให้ฉันได้เรียนหนังสือต่อ ตั้งแต่ระดับมัธยมปลายจนจบระดับอุดมศึกษาในทุกวันนี้ หากไม่ได้โอกาส
ในครั้งนั้นฉันก็คงไม่ได้เรียนหนังสือ ตอนนี้ก็คงทำงานอยู่ตามแถวบ้าน การได้รับทุนการศึกษามันทำให้ครอบครัวของฉันไม่ต้องกังวลใจอะไรในเรื่องของการเรียน และเงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำของฉัน หากวันไหนครอบครัวขาดรายได้ฉันก็ยังแบ่งค่าขนมของฉันที่ได้รับจากมูลนิธิฯ มาช่วยในครอบครัวได้อีกช่องทางหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าอย่างน้อยมันทำให้ฉันได้กินอิ่มมากขึ้นจากเดิม กระทั่งตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตลอดระยะเวลา 5 ปีของการเรียน ในระดับนี้ ฉันไม่เคยขอเงินจากทางบ้านเลย และฉันไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไปเพื่อส่งตัวเองเรียนให้จบ ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณไพบูลย์ หรือคุณพ่ออีกคนหนึ่งที่เป็นผู้ให้ชีวิตในการศึกษาของหนู หนูอยากบอกว่า หนูขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากที่ให้โอกาสหนูได้เรียนหนังสือ และยังช่วยให้ครอบครัวหนูสบายขึ้น ขอบพระคุณที่ให้โอกาส หนูขอสัญญาว่าจะนำความรู้ที่ได้ประกอบกับศักยภาพในตัวหนูที่ได้รับการพัฒนา มากขึ้นไปช่วยเหลือสังคมต่อไปเท่าที่จะทำได้ และจะทำให้ดีที่สุด